เหตุผลข้อ 3 : เพื่อสังคม และเพื่อนร่วมโลก...
ถูกต้องแล้วครับ
ถึงแม้น้องจำเป็นต้องเป็นรวยเงินล้านเพื่อตอบแทนพระคุณ บิดา มารดา..
และจำเป็นต้องรวยเงินล้านเพื่อตัวน้องและคนที่น้องรัก แล้ว
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ “สังคมและเพื่อนร่วมโลก” เพราะโดยพื้นฐานของมนุษย์แล้ว
มนุษย์ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ตลอดเวลา เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม
นั่นเอง... “ชีวิตของน้องๆทุกท่านจะดูไร้คุณค่าลงไปทันที
ถ้าน้องๆคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและครอบครัวของน้อง!เท่านั้น!”
การใช้ชีวิตของน้องจะมีความหมายต่อโลกนี้ได้อย่างไร
ถ้าน้องมัว “เห็นแก่ตัว!” เพราะฉะนั้น
เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชีวิตของน้อง
น้องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแบ่งปันสิ่งสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าสูงสุดให้กับผู้คน
สังคม และเพื่อนร่วมโลก(เหมือนที่พี่กำลังแบ่งปัน
หนังสือที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าสูงสุดนี้ให้กับน้องๆทุกท่านได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง)
ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ ถ้า ณ วินาทีนี้
น้องยังไม่ได้รวยเงินล้าน “น้องจะช่วยเหลือผู้คน
สังคมและเพื่อนร่วมโลกนี้ได้อย่างไร???”
เพราะลำพังตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอด!!!!!!
พี่จะยกตัวอย่างให้น้องได้เห็นภาพง่ายๆว่า
ระหว่างการบริจาคเงินเพื่อการกุศล มูลค่า “100 บาท”
กับ
การบริจาคเงินเพื่อการกุศล มูลค่า “100,000,000บาท”
แบบไหนจะ “สร้างสรรค์ประโยชน์และมอบคุณค่าให้กับ ผู้คน สังคม
และเพื่อนร่วมโลกได้มากที่สุด”
คำตอบก็คือ เงิน “100,000,000 บาท ใช่ หรือ ไม่?????”
น้องอย่าพยายามตำหนิ ติเตียน
หรือหาข้ออ้างไปโจมตีบรรดาเศรษฐีที่บริจาคเงินให้กับมูลนิธิต่างๆมูลค่า ร้อยล้าน
พันล้าน หมื่นล้าน....ด้วยประเด็นที่ว่า “พวกเขาเหล่านั้นสร้างภาพ อยากได้หน้า
โอ้อวด..ฯลฯ...” เพราะมันเป็นความคิดที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
ริษยา อย่างรุนแรง... เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่น้องขึ้นไปยืนบนแท่นของเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินมูลค่า
หมื่นล้าน แสนล้านแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น “เงิน มันก็แค่เศษกระดาษธรรมดาๆเท่านั้นเอง!” เมื่อไหร่ที่น้องมีเงินมากๆ
ความรู้สึกอิ่มมันจะเกิดขึ้นกับน้องทันที ยกตัวอย่างง่ายๆ...
สมมติว่า วันนี้ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น น้องยังไม่ได้ทานอาหารอะไรเลย
น้องรู้สึกหิวจนตาลาย
หมดเรี่ยวหมดแรง..จนเกือบจะเดินไปไหนไม่ได้...สิ่งที่มันคุกรุ่นอยู่ในหัวสมองของน้อง
ณ ขณะนั้น คือ “การทานอะไรก็ได้ ใช่ หรือ ไม่?” ยิ่งปล่อยเวลาไปนาน“น้องก็ยิ่งจะโมโหหิว ใช่ หรือ ไม่?” สิ่งที่น้องต้องการอย่างแรงกล้าที่สุด(ถึงขั้นฆ่าคนตายได้เลยถ้ามีใครมาขัดขวาง)
คือ “การทานอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญ” ใช่ หรือ ไม่?
ประเด็นก็คือ “ถ้าพี่พาน้องไปร้านบุฟเฟ่ต์
ซึ่งสามารถตักอาหารทานได้ทุกอย่าง เลือกที่จะปรุงเองก็ได้ สามารถทานได้ไม่อั้น..
ทานจนน้องแน่นท้อง.. ทานอิ่มจนถึงขนาดไปไหนไม่ได้...” ถ้าเป็นแบบนี้ “น้องยังจะฝืนทานมันลงไปอีกได้หรือไม่?” คำตอบ คือ น้องจะไม่สามารถทานอาหาร ณ ตอนนั้นได้อีกเลย
เพราะน้องอิ่มแล้ว..นั่นเอง
เปรียบได้กับ “เศรษฐีผู้มีทรัพย์สินมูลค่า
หมื่นล้าน แสนล้าน” ซึ่ง เงินร้อยล้าน
ก็เป็นได้แค่เศษกระดาษในสายตาของพวกเขา เพราะ“พวกเขามีมันอย่างเหลือเฟือ”นั่นเอง(เหมือนกับน้องอิ่มจนทานอะไรไม่ได้อีกแล้วนั่นแหละ)เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว
สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาทำ คือ “การแบ่งปัน” นั่งเอง
“การแบ่งปัน”นี่เอง
ที่เป็นแก่นแท้ที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ที่เรียกตัวเองว่า “สัตว์ประเสริฐ”
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ “ยิ่งน้องแบ่งปัน น้องยิ่งจะได้กลับคืนมาร้อยเท่า พันทวี” นี่แหละคือหัวใจสำคัญสูงสุดของหนังสือเล่มนี้ และ
นี่เองที่เป็นเหตุผลที่น้องต้องรีบเป็นเศรษฐี เพราะน้องจะได้ “แบ่งปันสิ่งดีๆที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าสูงสุด”นั่นเอง
ทั้งหมดนี้
เป็นเหตุผลที่น้องต้องรวยเงินล้าน เพราะน้องเกิดมาเพื่อทำภารกิจนี้.....นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น